วันพุธที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

มงคล ที่ 12 เลี้ยงดูบุตร

                                 มงคล ที่ ๑๒ เลี้ยงดูบุตร

ต้นไม้ถ้าลูกมันรสไม่ดี ก็มีแต่คนจะโค่นต้นทิ้ง

ไม่มีใครคิดจะบำรุงรักษาไว้ ตรงข้ามถ้าลูกมันรสดี ทั้งหวานทั้งมัน

เจ้าของก็อยากใส่ปุ๋ยรดน้ำพรวนดิน ทะนุถนอมให้คงต้นอยู่นานๆ

ต้นไม้จะอายุยืนได้รับการบำรุงรักษาดีเพียงไร ขึ้นอยู่กับลูกของมัน

คนเราก็เช่นกัน ถ้าลูกทำดี คนทั้งหลายก็ชมมาถึงพ่อแม่ว่าเลี้ยงลูกดี

ความสุขกายสบายใจก็ติดตามมาเพราะลูก

บุญกุศลความดีก็ไหลมาเพราะลูก แต่ถ้าลูกทำชั่วช้าเลวทราม

คนทั้งหลายก็แช่งด่ามาถึงพ่อแม่ด้วยเหมือนกัน

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงชี้ว่า สิริมงคลของคนที่เป็นพ่อแม่อยู่ที่ลูก

และในทางตรงข้าม ถ้าไม่ป้องกันแก้ไขให้ดีแล้ว

อัปมงคลก็จะมาจากลูกนั่นเหมือนกัน

*******************

ทำไมจึงต้องเลี้ยงดูบุตร ?

           สิ่งที่อยากได้กันทุกคน คือความปีติ ความปลื้มใจไว้หล่อเลี้ยงใจให้สดชื่น  ความปลื้มปีติจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อได้เห็นผลแห่งความดี  หรือผลงานดีๆ ยิ่งผลงานดีมากเท่าไร  ยิ่งชื่นใจมากเท่านั้น  แล้วอายุจะยืนยาว  สุขภาพจะแข็งแรง

            สุดยอดผลงานของนักปฏิบัติธรรม คือการกำจัดกิเลสในตัวให้หมด

            สุดยอดผลงานของชาวโลก คือการมีลูกหลานเป็นคนดีไว้สืบสกุล

******************

ความหวังของชาวโลก

            ๑.        บุตรที่เราเลี้ยงมาแล้วจักเลี้ยงตอบแทน

            ๒.        บุตรที่เราเลี้ยงมาแล้วจักทำกิจแทนเรา

            ๓.        วงศ์สกุลของเราจักดำรงอยู่ได้นาน

            ๔.        บุตรจักปกครองทรัพย์มรดกแทนเรา

            ๕.        เมื่อเราละโลกไปแล้ว บุตรจักบำเพ็ญทักษิณาทานให้

            เพราะปรารถนาฐานะ ๕ ประการนี้  บิดามารดาจึงอยากได้บุตร

******************

บุตรแปลว่าอะไร ?

            บุตร มาจากคำว่า ปุตฺต แปลว่า ลูก  มีความหมาย ๒ ประการ คือ

            -  ผู้ทำสกุลให้บริสุทธิ์

            -  ผู้ยังหทัยของพ่อแม่ให้เต็มอิ่ม

******************         

ประเภทของบุตร

            ประเภทของบุตรแบ่งโดยความดีในตัวได้เป็น ๓ ชั้น ดังนี้

            ๑. อภิชาตบุตร  คือบุตรที่ดีมีคุณธรรมสูงกว่าบิดามารดา  เป็นบุตรชั้นสูง  สร้างความเจริญแก่วงศ์ตระกูล

            ๒.อนุชาตบุตร  คือบุตรที่มีคุณธรรมเสมอบิดามารดา  เป็นบุตรชั้น กลาง  ไม่พอรักษาวงค์ตะกูลไว้ได้

            ๓.อวชาตบุตร คือบุตรที่เลว มีคุณธรรมต่ำกว่าพ่อแม่ เป็นบุตรชั้นต่ำ นำความเสื่อมเสียมาสู่วงศ์ตระกูล

******************

 องค์ประกอบให้ได้ลูกดี

            ๑. ตนเองต้องเป็นคนดี พ่อแม่ที่ทำบุญมาดีจึงจะได้ลูกดีมาเกิด 

            ๒. การเลี้ยงดูอบรมดี 

 

******************

วิธีเลี้ยงดูลูก

            การเลี้ยงดูลูกมีอยู่ ๒ ทาง  คือการเลี้ยงดูลูกทางโลกและการเลี้ยงดูลูกทางธรรม  ซึ่งพ่อแม่ควรจะเลี้ยงดูลูกให้พร้อมบริบูรณ์ทั้ง ๒ ทาง

๑.วิธีเลี้ยงดูลูกทางโลก

           ๑. กันลูกออกจากความชั่ว กัน หมายถึง ป้องกัน กีดกัน คือไม่เพียงแต่ห้าม หากต้องดำเนินการทุกวิถีทางที่จะไม่ให้ลูกตกไปสู่ความชั่ว 

            การกันลูกออกจากความชั่ว จะต้องทำตั้งแต่ลูกยังเล็ก ๆ นอกจากเรื่องเพื่อนแล้ว ควรให้ลูกอยู่ห่างจากสื่อทุกชนิดที่สร้างตัวอย่างที่ไม่ดีให้ลูก เช่น โฆษณายาฆ่ายุง ภาพยนตร์หรือการ์ตูนที่เห็นความรุนแรง  เป็นต้น  

            การกันลูกจากความชั่วนี้ บางครั้งพ่อแม่กับลูกก็พูดกันไม่เข้าใจ สาเหตุของความไม่เข้าใจกันนั้นมักจะเกิดจากการขัดกันอยู่ ๓ ประการคือ
            - ความเห็นขัดกัน

            - ความต้องการขัดกัน

            - กิเลส

            ความเห็นขัดกัน คือของสิ่งเดียวกันแต่เห็นกันคนละทาง มองกันคนละแง่ 

          ดังนั้นเชื่อฟังคำว่ากล่าวตักเตือนของพ่อแม่ไว้เถิดไม่เสียหลาย ส่วนพ่อแม่เองเมื่อจะห้ามหรือบอกให้ลูกทำอะไร ก็ควรบอกเหตุผลด้วย  อย่าใช้แต่อารมณ์

            ความต้องการขัดกัน คือคนต่างวัยก็มีรสนิยมต่างกัน ความสุขของคนแก่คือชอบสงบ แต่ความสุขของเด็กหนุ่มสาวมักอยู่ที่ได้แต่งตัวสวยๆ ไปเที่ยวเตร่นอกบ้าน ข้อนี้ขัดแย้งกันแน่ ลูกกับพ่อแม่จึงต้องเอาใจมาพบกันที่ความรัก ตกลงกันที่มุมรักระหว่างพ่อแม่กับลูก รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาวตามสมควร 

            กิเลส ถ้าทั้ง ๒ ฝ่าย มีความโกรธ มีทิฏฐิ ดื้อดึง ดื้อด้าน หลงตัวเอง หรือมีกิเลสอื่นๆ ครอบงำอยู่แล้วก็ยากที่จะพูดกันให้เข้าใจ  ต้องทำใจให้สงบและ พูดกันด้วยใจที่เป็นธรรม ด้วยเหตุด้วยผล พ่อแม่ต้องฝึกตนให้เป็นคนมีคุณธรรม และสอนลูกให้เป็นคนดีมีเหตุผลตั้งแต่ยังเล็ก ปัญหาข้อนี้ก็จะเบาบางลง

           ๒. ปลูกฝังลูกในทางดี หมายถึง ให้ลูกประพฤติดีมีศีลธรรม พ่อแม่ต้องพยายามเล็งเข้าหาใจของลูก เพราะใจเป็นตัวควบคุมการกระทำของคน ที่ว่าเลี้ยงลูกให้ดี  คือทำใจของลูกให้ดีนั่นเอง

            สมบัติทางใจก็มี ๒ ประการ เหมือนกัน

                -           ธรรมะ            เป็นอาหารใจ

                -           วิชาความรู้       เป็นเครื่องมือของใจ

            ใจที่ขาดธรรมะเหมือนร่างกายที่ขาดอาหาร ใจที่ขาดวิชาความรู้เหมือนคนที่ขาดเครื่องมือทำงาน

            พ่อแม่ต้องปลูกใจลูกให้มีทั้ง ๒ อย่าง  จึงจะเป็นการปลูกฝังลูกในทางดี ซึ่งทำได้โดย

            ๑.กระทำตนเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูก

            ๒.เลือกคนดีให้ลูกคบ

            ๓.หาหนังสือดี สื่อดีๆ ให้ลูกดู

            ๔.พาลูกไปหาบัณฑิต เช่น พระภิกษุ ครูบาอาจารย์ที่ดี


            ๓.ให้ลูกได้รับการศึกษา

            พ่อแม่สมัยนี้ควรจะติดตามดูแลลูกอย่างใกล้ชิดมากขึ้น ควรติดต่อกับทางโรงเรียนอยู่เสมอ ขอทราบเวลาเรียน ผลการเรียน รวมทั้งค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เด็กอ้างว่าทางโรงเรียนเรียกร้องด้วย พ่อแม่ที่มีลูกไปเรียนไกลบ้านต่างจังหวัด และขาดผู้ดูแลที่ไว้วางใจได้ ควรจะเป็นห่วงลูกให้มาก หากไม่จำเป็นจริงๆ
ไม่ควรให้เด็กอยู่หอพัก เว้นแต่จะเชื่อใจเด็กได้ และต้องหาพอพักที่มีระเบียบข้อบังคับเคร่งครัดด้วย

            ๔.จัดแจงให้ลูกแต่งงานกับคนดี  ความหมายในทางปฏิบัติมีอยู่ ๒ ขั้นตอน คือ

            ๔.๑.    พ่อแม่ต้องเป็นธุระในการแต่งงานของลูกให้คำแนะนำและช่วยเหลือ

            ๔.๒.    พ่อแม่ต้องพยายามให้ลูกได้คู่ครองที่ดี

            ในข้อที่ ๔.๒  อาจมีความขัดแย้งระหว่างพ่อแม่กับลูกอยู่ไม่น้อย  คล้ายกับการกันลูกจากความชั่ว แต่การขัดแย้งกันในเรื่องคู่ครองมักจะแรงกว่า ควรจะทำความเข้าใจกันให้ดี  ปัญหาสำคัญมีอยู่ ๒ ข้อ คือ

            ๔.๒.๑.  พ่อแม่แทรกแซงความรักของลูก  มีผลดีหรือเสียอย่างไร?

            ๔.๒.๒.  ใครควรเป็นผู้ตัดสินการแต่งงานของลูก

            “คนที่เราไม่ชอบแต่ลูกรัก ดีกว่าคนที่เรารักแต่ลูกไม่ชอบ”

            คิดเสียว่าเขาเป็นเนื้อคู่กัน เว้นแต่คนที่ลูกปลงใจรักเป็นคนเลว หลอกลวง จะชักนำลูกเราไปในทางเสีย อย่างนี้ต้องห้าม แม้ว่าลูกจะรักก็ตาม

            ๕. มอบทรัพย์มรดกให้เมื่อถึงกาลอันสมควร 

            การทำธุระเกี่ยวกับทรัพย์มรดกให้เสร็จสิ้นก่อนตาย เป็นการชอบด้วยพุทธประสงค์ วงศ์ตระกูลก็มีความสงบสุขต่อไป รายใดที่พ่อแม่ไม่ทำพินัยกรรมไว้ให้เรียบร้อย  ปล่อยให้ลูกๆ จัดการกันเอง  ก็มักเกิดเรื่องร้าวฉานขึ้นในวงพี่ๆ น้องๆ จนถึงกับฟ้องร้องขึ้นศาลกันก็มี พี่น้องแตกความสามัคคี ทรัพย์สินก็เสื่อมหายลง  เป็นเรื่องที่น่าสลดใจยิ่งนัก

 

๒.วิธีเลี้ยงดูลูกในทางธรรม

            ๑. พาลูกเข้าวัดเพื่อศึกษาหาความรู้ทางพระพุทธศาสนา

            ๒. ชักนำลูกให้สวดมนต์ก่อนนอนทุกคืน

            ๓. ชักนำให้ลูกทำบุญ เช่น ตักบาตร รักษาศีล เป็นต้น

            ๔. ชักนำให้ลูกทำสมาธิภาวนา

            ๕. ถ้าลูกเป็นชายให้บวชเป็นสามเณร หรือเป็นพระภิกษุ แล้วเข้าปฏิบัติกรรมฐาน  รวมทั้งศึกษาพระปริยัติธรรม

 ********************

ความสำคัญของความอบอุ่นในวัย ๐ – ๓ ขวบ

            จากผลการวิจัยทางการเพทย์พบว่า การเลี้ยงดูลูกด้วยน้ำนมแม่อย่างน้อย ๖ เดือนขึ้นไปและความอบอุ่นของทารกในวัย ๐-๓ ขวบ มีความสำคัญต่อพฤติกรรมของเด็กเมื่อโตขึ้นอย่างมาก จากการศึกษาจิตใจเด็กพบว่า เด็กที่ได้กินนมแม่นาน ๖ เดือนขึ้นไป จะมีจิตใจร่าเริงอยู่เสมอ 

เด็กที่กินนมขวดแบบตรงกันข้าม จิตแพทย์อธิบายว่า ความสุขของเด็กที่พบได้ในเด็กกินนมแม่นั้น เกิดจากการที่แม่ได้อุ้มโอ๋ประคองกอดเด็กไว้แนบอก มีการถ่ายทอดความรู้สึกทางผิวหนัง ทางประสาทหูและประสาทตา หูเด็กได้ยินเสียงเต้นของหัวใจแม่ และได้ยินเสียงหายใจในอกของแม่ สิ่งเหล่านนี้รวมกันเป็นองค์ประกอบสัมผัสให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นเป็นสุขขึ้นมา แล้ะผันแปรกลายเป็นความเมตตาและความไม่เห็นแก่ตัว ซึ่งจะพบได้ในเด็กที่ได้กินนมแม่นาน ๖ เดือนขึ้นไป เด็กจะกินนมอย่างพอใจ สุขใจและยิ้ม อารมณ์ดี  ไม่มีความรู้สึกขาดแคลนใดๆ เกิดขึ้นจิตใจจะมั่นคง รู้จักเหตุผลและรู้จักรอคอย นั่นคือ รู้จักอดทนต่อทุกสถานการณ์ได้ดียิ่ง สิ่งเหล่านี้จะมีน้อยมากหรือแทบไม่มีเลยในเด็กที่กินนมขวดนิสัยขาดเมตตาและเห็นแก่ตัวจะพบได้สูงในเด็กกินนมขวด

            สมองคนทุกคนได้รับข้อมูลทั้งชั่วและดี รวมกันอัดไว้แน่นตอนช่วงอายุ ๐-๓ ขวบ ข้อมูลก่อน ๓ ขวบที่สองเก็บไว้นั้น เปลี่ยนแปลงได้ยาก มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นเช่นนี้จริง เช่น คนกลัวแมว คนกลัวฟ้าร้อง คนกลัวความสูง ส่วนใหญ่เกิดจากประสบการณ์ที่เกิดในวัย ๐-๓ ขวบ และจะแก้นิสัยเหล่านี้ได้ยาก ดังนั้น การจะสอนคนให้เป็นคนดีต้องสอนตั้งแต่ก่อน ๓ ขวบ นิสัยดี ๆ นั้นจะได้ฝังแน่นติดตัวเด็กไปตลอด เด็กเล็กที่กินนมแม่จะได้ข้อมูลที่ดีฝังในสมองในเรื่องของความเมตตาและความไม่เห็นแก่ตัว เด็กกินนมแม่เหล่านี้ ถ้าไม่ขาดแม่ในช่วงชีวิต ๐-๓ ขวบจะเป็นเด็กที่มีสุขภาพจิตดีเยี่ยม

  ********************

ข้อเตือนใจ

            ๑.        รักลูกแต่อย่าโอ๋ลูก อย่าตามใจลูกเกินไป 

            ๒.        อย่าเคร่งระเบียบจนเกินไป  รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว

            ๓.        ให้ความอบอุ่นแก่ลูกให้เพียงพอ  

            ๔.        เมื่อเห็นลูกทำผิด ควรตำหนิทันทีเพื่อจะได้แก้ไขทันท่วงที

            ๕.        ต้องฝึกให้ลูกทำงานตั้งแต่ยังเล็ก 

            ๖.        การเลี้ยงลูก ให้แต่ปัจจัย ๔ ยังไม่พอ  จะต้องให้ธรรมะแก่ลูกด้วย

 ********************

อานิสงส์การเลี้ยงดูบุตร

            ๑.        พ่อแม่จะได้ความปีติภาคภูมิใจเป็นเครื่องตอบแทน

            ๒.        ครอบครัวจะสงบร่มเย็นเป็นสุข

            ๓.        ประเทศชาติจะมีคนดีไว้ใช้

            ๔.        เป็นต้นแบบที่ดีงามของสังคมสืบไปตลอดกาลนาน

                                                            ฯลฯ

            “บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมปรารถนาอภิชาตบุตร อนุชาตบุตร ไม่ปรารถนาอวชาตบุตรผู้ตัดสกุล บุตรเหล่านี้แล มีพร้อมอยู่ในโลก บุตรเหล่าใดเป็นอุบาสก มีศรัทธา ถึงพร้อมด้วยศีล รู้ถ้อยคำ ปราศจากความตระหนี่ บุตรเหล่านั้น ย่อมไพโรจน์ในบริษัททั้งหลาย เหมือนพระจันทร์พ้นจากก้อนเมฆ ไพโรจน์อยู่"

********************


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น